ความแตกต่างระหว่างภาษาอังกฤษ อเมริกันและบริติชที่ชัดเจนมีอะไรกันบ้าง
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษในปัจจุบันมี 2 แบบที่ใช้กันทั่วโลกคือ “ภาษาอังกฤษ อเมริกัน” และ “ภาษาอังกฤษฉบับบริติช” และแม้บางคนอาจจะเคยได้ยินมาก่อนแต่ไม่มั่นใจว่าทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะเข้าใจมาโดยตลอดว่าภาษาอังกฤษมีเพียงแค่แบบเดียวเท่านั้น วันนี้เราดูกันว่าภาษาอังกฤษทั้ง 2 แบบ นั้นมีความแตกต่างกันตรงไหน รวมถึงหลักการสังเกตง่าย ๆ ที่ทุกคนนำไปใช้ได้จริง ๆ กันได้บ่อยว่ามีส่วนไหนกันบ้าง
3 ความต่างที่บ่งบอกถึงภาษาอังกฤษ อเมริกันหรือภาษาอังกฤษบริติชได้ชัดที่สุด
ปัญหาการสื่อสารภาษาอังกฤษกลายเป็นเรื่องโลกแตกง่าย ๆ หากยังไม่สามารถแยกสำเนียงอังกฤษ อเมริกันจากบริติชไม่ออก เพราะทำให้เกิดปัญหาความเข้าใจผิดตามมาแน่นอน ดังนั้นเพื่อความมั่นใจในการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นพูด อ่าน เขียนและฟังมากที่สุด แนะนำทริคแยกทั้ง 2 สำเนียงออกจากกันให้ง่ายมากที่สุด ด้วยข้อสังเกตง่าย ๆ ดังนี้
ความแตกต่างเรื่องคำศัพท์ (Vocabulary)
เริ่มต้นกันด้วยคำศัพท์โดยส่วนนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างมาก และในปัจจุบันเรายังได้ยินและใช้กันบ่อย ๆ โดยไม่รู้เลยว่าศัพท์ที่ใช้เป็นภาษาอังกฤษจากไหน โดยศัพท์ที่เราเคยเห็นและได้ใช้กันบ่อย ๆ คือ
บริติช อเมริกัน
Lift = ลิฟต์ Elevator = ลิฟต์
Rubber = ยางลบ Eraser = ยางลบ
Taxi = รถแท็กซี่ Cab = รถแท็กซี่
Garden = สวน yard = สวน
ไวยากรณ์แตกต่างกันชัดมาก (Grammar)
ส่วนที่ 2 ที่เราจะได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างอังกฤษแบบอเมริกันและภาษาอังกฤษแบบบริติชคือ รูปแบบของไวยากรณ์ เพราะทั้ง 2 แบบจะมีความแตกต่างกันมากให้เห็นอย่างเช่น ภาษาอังกฤษแบบบริติช ซึ่งเปรียบเสมือนต้นแบบของภาษาอังกฤษ มักจะใช้ Past Perfect tense ในขณะที่ทางด้านอังกฤษอเมริกันจะใช้ Past Simple tense เช่น
แบบบริติช: I have just had breakfast.
แบบอเมริกา: I Just had breakfast.
การออกเสียงเวลาพูดคุยจะแตกต่างกัน (Pronunciation)
อีกหนึ่งจุดที่ช่วยให้สามารถแยกภาษาอังกฤษทั้ง 2 แบบออกจากกันได้ง่ายมากที่สุดคือ การจับการออกเสียงของคนที่เราสนทนาด้วย โดยจะมีความแตกต่างกันชัดเจน อย่างเช่น
ตัวสระ a ถ้าเป็นบริติชจะออกเสียง “อา” เช่น fast (ฟาสท์), Can’t (ค้านท์) เป็นต้น แต่ถ้าเป็นอเมริกันจะออกเสียง “แอ” เช่น fast (แฟสท์), Can’t (แค้นท์)
คำศัพท์ตัวอักษร ue, ew ถ้าเป็นบริติชจะออกเสียง “อิว” เช่น Due (ดิว) แต่ถ้าเป็นอเมริกันจะออกเสียง ดู (Due)
ตัวอักษรผสมระหว่าง T กับสระหรืออักษร L หรือ R ถ้าเป็นบริติชจะออกเสียง “ท” เช่น Better (เบทเท่อะ) ส่วนอเมริกันจะออกเสียง “ด” เช่น Better (เบทเด่อะ)
เสียง R ที่อยู่ระหว่างตัวอักษรหรือท้ายคำ ส่วนของบริติชจะไม่ออกเสียง rpart (พาท) ส่วนอเมริกันจะออกมาเสียง r เช่น rpart (พารท)
สิ่งที่ได้หลังรู้ถึงความต่างของภาษาอังกฤษทั้ง 2 แบบมีประโยชน์ต่อการนำไปใช้งานโดยตรง
ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ อเมริกันหรือแบบบริติชแท้ ๆ เราสามารถแยกออกจากกันได้ไม่ยาก หากมีทริคที่ดีช่วยให้จับจุดได้ง่าย โดยอย่าลืมว่าภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็นแบบบริติชดั้งเดิมแท้ ๆ หรือมีพัฒนามากขึ้น รวมถึงแบบอเมริกัน มีความสำคัญในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก ดังนั้นการเรียนรู้ไว้และเข้าใจถึงความแตกได้ย่อมส่งผลดีต่อตัวเราเองโดยตรงทันที